IP67 ของ iPhone 7 กันน้ำได้แค่ไหน

     
     สวัสดีครับ เพื่อนๆหลายคนคงได้ดูเปิดตัว iPhone 7 ไปเมื่อเร็วๆนี้ ฟังชันก์หลายๆอย่างน่าสนใจมาก และมีสิ่งที่เพิ่มมาอีกอย่างนึงคือ iPhone 7  กันน้ำได้ ยอดเยี่ยมไปเลยใช่รึเปล่า 
     แต่อย่าพึ่งดีใจกันเกินไปเพราะเรามาศึกษาระดับการกันน้ำของมันกันก่อน ซึ่ง iPhone 7 นั้นมีมาตรฐานในการป้องกันฝุ่นและน้ำในระดับ IP67 แล้วมาตรฐานนี้มันมีอะไรบ้างลองมาดูกัน ผมยกรายละเอียดมากจาก http://aceeca.com/handhelds/ip67 นี้เลยนะครับ 


    iPhone 7 สามารถป้องกันฝุ่นละอองได้ทุกรูปแบบแต่กันน้ำได้ที่ระดับ 7 นั่นคือกันน้ำได้ลึกระหว่าง 15เซนถึง 1 เมตร ซึ่งพอหาข้อมูลเพิ่มเติมมาตรฐานนี้ถูกทดสอบในโหมด stand by นั่นคือไม่มีการใช้งานใดๆในการทำสอบ ซึ่งสรุปได้ว่า "iPhone 7 นั้นจะกันน้ำแบบตกน้ำจ๋อม หรือเดินตากฝน ผ่านน้ำก๊อกหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่ใช่การเอาไปถ่ายรูปใต้น้ำ หรือในแรงกดดันน้ำที่สูงๆ"


   ถึงจะไม่ได้กันอะไรสุดๆ แต่ปกป้องได้ขนาดนี้ก็เหมาะสมกับชีวิตประจำวันเราทั่วไป ที่ชอบวางเครื่องแล้วโดนน้ำหกใส่ หรือก้มทำอะไรแล้วไหลลงอ่างน้ำที่มักจะเป็นกันประจำ ได้ขนาดนี้ก็ถือว่าโอเคแล้วนะครับ แต่เนื่องจากเพิ่งเปิดตัวเราคงต้องมาดูกันที่การรับประกันกันอีกที ว่าตัววัดความชืันมันจะไปวัดกันตรงไหนแล้วะประกันจะหมดกรณียังไงอีกที 

    *update เพิ่มเติมเรื่องการรับประกันนะครับ ทาง apple ไม่รับประกันความเสียหายที่เกิดจากของเหลว นั่นก็คือ ถ้าแถบวัดความชื้นขึ้นสีแดงก็หมดประกันเหมือนกันนะครับ แต่รู้สึกว่าแผ่นวัดความชืันจะแปะอยู่ตรงแผงวงจร ซึ่งก็ลึกพอสมควร และหลังจากตกหรือเปียกน้ำ ไม่ควรเสียบชาร์ตทันทีนะครับ 

awareness คนไม่รู้จักตัวเอง



     ไปรู้จักหนังสือนี้ด้วยความบังเอิญ ก็เลยลองหามาอ่านดูปรากฏว่า เป็นหนังสือที่ดีมากๆแต่เสียดายว่าถ้าไม่รู้เนื้อหามาก่อน คงยากที่จะหยิบมาอ่านเพราะหน้าปกออกมาแนวนิยาย หรืออะไรฝันๆแนวฮิปเตอร์ๆเป็นแน่แท้

      แต่จริงๆแล้วเนื้อหาข้างในดีและหนักพอสมควร ระดับที่ว่าอ่านจบรอบแรกต้องอ่านรอบสองซ้ำอีก และพกติดตัวไว้อ่านเสมอๆ แล้วเนื้อหามันยังไงกันโปรยมาซะขนาดนี้แล้วเรามาว่ากันเลย

       ผู้เขียนคือ แอนโทนี เดอ เมลโล เป็นผู้อำนวยการสถาบันที่ให้คำปรึกษานักบวชในประเทศอินเดีย ได้ถ่ายทอดแนวคิดที่ค่อนข้างจริงและตรง จนบางทีก็ตรงๆจนอาจไปสะกิตใจใครๆ หรือผู้ที่นับถือศาสนาใดๆที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ ดังนั้นการจะอ่านเล่มนี้ ต้องค่อยข้างเป็นกลางเปิดรับฟังดูพอสมควร แล้วคุณจะได้ของดีที่อยู่ในเล่มนี้ไปเป็นแนวทางชีวิต

       เนื้อหาข้างใจจะพูดถึงการปล่อยวาง การรับรู้ตัวเอง เพื่อที่จะทำความเข้าใจชีวิตและไม่ยืดติดกับสิ่งๆต่างๆที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ทำให้เราจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้เร็วและง่ายขึ้น โดยเน้นที่การพยายามมองตัวเองในแบบที่เหมือนเราเฝ้ามองคนอื่นอยู่ มองดูและพิจารณาดูเฉยๆ รู้สึกยังไงก็ขอให้รับรู้ว่ารู้สึกอย่างนั้น ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ สุขก็รู้ว่าสุข และยังย้ำเสมอว่าทุกอย่างทุกอารมณ์เป็นสิ่งชั่วคราว

       สำหรับชาวพุทธ อ่านย่อหน้าข้างบนแล้วคุ้นๆไหมครับ มันค่อนข้างเป็นธรรมะเลยหล่ะ แต่อย่างที่บอกพออ่านแล้วมันตรงกับสิ่งที่เราศรัทธาเราก็ชอบใจ มันก็ต้องมีบางส่วนที่ไม่ตรงกับศรัทธาของเรา ถ้าคิดว่า โอ๊ยฉันรู้แล้วนี่มันพุทธนี่แล้ววางหนังสือลง มันก็จบแค่นั้น แต่ถ้าอ่านไปจนจบจะรู้เลยว่า

       มันเป็นขั้นต้นในการเดินทางไปสู่ธรรมะ ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าสิ่งที่หลุดพ้นนั้นคืออะไร เขาไม่อธิบายและบอกไม่ได้ ทุกคนต้องไปถึงตรงนั้นด้วยตัวเอง แต่เขาจะบอกได้ว่า เราควรมีระบบความคิดยังไง  มองตัวเองยังไง และเมื่อเราเข้าใจตัวเองเราก็จะไปถึงจุดที่ปล่อยวางของเราได้ และในหนังสือก็จะบอกเป็นแนวทางคร่าวๆ โดยยกตัวอย่างหรือเหตุการณ์มาใช้ อย่างเช่นว่า "แม้แต่การณ์ทำความดีของเราเอง มันก็คือการทำเพื่อสนองความต้องการของเรา เราไม่ได้ทำดีเพื่อใคร" ฟังดูอาจจะขัดหู แต่ถ้าค่อยๆคิดตามไปจะเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้เร็วขึ้นเลย

         และถ้าอ่าน awareness คนไม่รู้จักตัวเอง จนเข้าใจและยังไม่รู้สึกไม่ชัดเจนในคำอธิบายบางอย่าง ว่าพอเรามองตัวเอง เราเห็นอารมณ์ตัวเองแล้วยังไงต่อ มันเข้ามายังไง กระบวนการจัดการของจิตเรามันทำยังไงต่อสิ่งที่เข้ามา แล้วแปลผลออกมายังไง หรืออยากให้ลึกซึ้งกว่านี้ แนะนำให้ต่อด้วยเล่มนี้ครับ


       พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย (แนบฉบับpdf ไว้ล่างสุดนะครับ) โดยส่วนตัวผมเล่มนี้ชัดเจนมาก เน้นโครงสร้างของจิตเราจริงๆ ไม่เวิ่นเว้อ ไม่ได้สอนแนว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วอะไรอย่างนั้น แต่ถ้าจะเน้น สมาธิ กรรมฐาน เข้าใจธรรมะ และเข้าใจจิตตัวเอง เล่มนี้สมควรอ่านต่อจากเล่มข้างบน เพราะมันจะมีศัพท์ทางธรรมที่แจกแจงโครงสร้างทางจิต พร้อมทั้งมีภาษาอังกฤษมาอธิบายขยายความหมายคำด้วย (อันนี้จริงๆนะ ตอนอ่านภาษาไทยยังงงๆ แต่พอมีคำอังกฤษมาเสริมนี่อ๋อเลย) 
       
         แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้นับถือพุทธ หรือนับถือครึ่งๆกลางๆ หรือจะอินดี้ไม่นับถืออะไรแค่อยากจัดการความรู้สึกตัวเองให้ได้ไม่อยากทุกข์ทรมานใจ ขอให้อ่าน awareness ก่อนครับ อารมณ์จะเหมือนคุณอยากขับรถ แล้วให้เพื่อนสอนก็ขึ้นรถแล้วพาขับไป บอกไปตามความเข้าใจของเพื่อน ซึ่งมันเข้าใจง่ายและแค่ใช้ปฏิบัติจริงคือขับรถตามถนนทั่วไป  คือเข้าใจง่ายเข้าถึงง่ายและใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันทั่วไป

         ซึ่งหลังจากนั้นถ้าคุณเริ่มหลงไหลในเครื่องยนต์ อัตราเร่ง ระบบเกียร์ หรือจะขับดริป แต่งรถจริงจังกันแบบนั้น คุณต้องต่อด้วย พุทธธรรมฉบับขยายครับ เล่มนี้จะพาคุณไปขับรถส่งเต้าหู้แบบ initial D กันเลยฮ่าๆๆ




       

หงสาจอมราชันย์ ภาคพิเศษเล่ม4 โปวฟู (ซุนเซ็ก)



     พอมีเวลาได้อ่านหงสาจอมราชันย์เล่มนี้จบพอดี อีกไม่กี่เดือน ก็จะมีเล่ม 6 ออกแล้ว แต่ผมเพิ่งจะได้อ่านเล่ม 4 จบเองก็มาเล่าให้ฟังแบบไม่สปอยด์กันแล้วกันว่าเล่มนี้มีอะไรบ้าง

      ก็คงจะเหมือนทุกๆเล่มของนิยายหงสาจอมราชันย์ ที่เป็นส่วนขยายแต่งเติมเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวแยกออกมาเป็นเล่มเดี่ยวของตัวเอง คราวนี้เป็นคิวของ โปวฟู (ซุนเซ็ก) ทายาทแห่งตระกูลซุน ตระกูลที่เอะอะๆก็จะคุยกับสวรรค์อย่างเดียวเลย เป็นกันทุกรุ่น สำหรับตัวซุนเซ็กเองแล้วอาจจะไม่ได้มีภาคบู๊เท่าไหร่ ดราม่ามองฟ้าทั้งเรื่อง แต่ช่วงกลางเล่มนี่มาครบทั้งบรรยายฉากบู๊ กลศึก การวางแผนแต่จะหนักไปทางวางแผนแบบเฉือนคมมากกว่าเป็นแผนในการรบ ภาคบู๊ไม่มันเท่าลิโป้ แต่มันครบรสจริงๆ

     แนวทางการเขียนก็ค่อยๆพัฒนามาเรื่อยๆ เนื้อหาเริ่มปะติดปะต่อกันไม่โดดไปมามากนักเริ่มได้กลิ่นความเป็นหงสาจอมราชันย์ มากขึ้นเพราะเล่มแรกๆนี่แทบจะยืมแค่ชื่อตัวละครกับโครงเรื่องมาเลย อ่านแล้วเป็นนิยายจีนเรื่องนึงเฉยๆ ในเล่มนี้มีการหักเหลี่ยม ชิงแผ่นดิน หลอกหน้าหลอกหลัง ตามสไตล์หงสาและสามก๊ก มากขึ้น(ถึงแม้เราจะรู้มาก่อนแล้ว เพราะมันเป็นการบรรยายเสริมเข้ากับเรื่องหลังหงสา) 

    แต่สิ่งนึงที่ขัดความรู้สึกผมมากๆ (บางคนอาจจะชอบ) คือการตัดซีนสลับย่อหน้า ระหว่างคนสองคนหรือเหตุการณ์สองเหตุการณ์ อารมณ์ประมาณว่าถ้าจินตนาการว่าเป็นภาพยนต์จะสนุกมาก ตัดสลับนายเอกับลังรบ ขณะที่นายบีพูดแผนศึกกับอีกคนในเมืองหลวง แต่พอเป็นตัวหนังสือ มันสลับไปสลับมาถึงจะมีการใช้ตัวหน้าแยะระหว่างย่อหน้าแล้ว แต่ก็ทำให้งงได้แบบว่ากำลังอ่านมาเพลินๆพอมาถึงช่วงวาร์ปไปๆมาๆตรงนี้ต้องค่อยๆอ่านอย่างช้าๆ 

    กับส่วนหลังๆที่เหมือนเนื้อเรื่องจบไปแล้ว แต่ก็อัดดราม่าต่อ เวิ่นเว้อไปเรื่อยเหมือนจะพยายามให้แง่คิดให้คมคาย แต่บางทีการพยายามตะล่อมกล่อมและพรรณามากไปมันก็เอียนได้เหมือนกัน มีอ่านไวๆข้ามไปพอสมควร แต่ช่วงกลางเล่มสนุกมากพอให้เราอินกับอารมณ์ตัวละครได้เลย (ต้องผ่านช่วงฟากฟ้า สวรรค์ต้นเล่มไปให้ได้ก่อนนะ ฮ่าๆๆ) 


   ก็มาเล่าให้ฟังแบบไม่แง้มเนื้อหาแค่พอประมาณเป็นแนวทางในการตัดสินใจซื้อแล้วกันครับ แต่อย่างว่าถ้าเป็นแฟนหงสาก็ไม่ต้องคิดมาก ซื้อมาเก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นเฉยๆก็ยังได้ ^_^ 


ข้อมูลหนังสือจากสำนักพิมพ์ postbook

  • ผู้เขียน: หวังอี๋ซิง
  • ผู้แปล: ม.ประภา
  • ผู้เรียบเรียง: -
  • ISBN: 9789742282721
  • ขนาด: 14.5 x 21 cm
   

ภาษาคือกำแพงจริงๆ

   
     ผมไม่ใช่คนมีการศึกษาสูงอะไร ไม่ได้ทำงานบริษัท แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยมองข้ามเรื่องภาษาอังกฤษมาตลอด คือรู้อยู่ว่าถ้าเราคล่องภาษาเราก็จะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อไม่โดนด้วยตัวเองก็ยากที่จะเข้าใจ เพราะพื้นฐานแล้วเราก็พอจะแปลประโยคได้นิดหน่อย ฟังซับไตเติ้ลหนังพอคลำทางได้ พูดคุยกับคนต่างชาติก็พอถูไถไปได้บ้าง

     แต่หลังๆเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนชอบอ่าน แล้วสิ่งที่ชอบอ่านบางอย่างก็ไม่ได้ดังหรือมีคนสนใจพอที่จะมีคนนำมาแปลไทย ก่อนหน้านี้ก็ใช้ kindle ในการอ่านแต่ต้องมาหาเครื่องยี่ห้ออื่นแทนเพราะต้องพึ่งการอ่านจาก pdf ซึ่งรู้แก่ใจเลยว่าถ้าอ่านภาษาอังกฤษคล่องๆ เรื่องราคาหนังสือใน amazon ไม่ใช่ปัญหาเลย ปัญหาอย่างเดียวคือเราอ่านมันไม่ออกแล้วแปลไม่ลื่นพอจะอ่านให้จบ กว่าจะผ่านไปแต่ละหน้ายากมากๆ

    คงถึงเวลาที่จะต้องมาสนใจภาษาให้มากพอที่จะอ่านหนังสือที่ชอบบ้างแล้วหล่ะ แต่ก่อนเคยมองข้ามเพราะอย่างที่บอกด้านบน แต่ตอนนี้รู้แล้วอยากจะหาข้อมูลอะไรบางครั้งภาษาไทยมันไม่พอ ถ้ามีเด็กๆผ่านมาอ่านเจอก็อยากบอกนะครับว่า ตั้งใจเถอะภาษาอังกฤษ ไม่ต้องคิดไปใช้เรื่องทำงานในอนาคตหรอก บางทีคุณเล่นเกมติด อยากทำเพลง ทำโปรแกรม หรืออะไรที่เป็นเรื่องเล่นๆของคุณ ถ้าคุณอ่านภาษาอังกฤษคล่อง มันจะทำให้คุณศึกษาสิ่งที่คุณรักได้กว้างขึ้นอย่างแน่นอน

รีวิว (แบบรีบๆ) BOOX I86 PLUS e-reader ของชาว pdf









     อัดรูปทีเดียว แล้วค่อยบรรยายเป็นการรีวิวที่หยาบมากๆ ฮ่าๆๆ แต่เอาเถอะครับจำได้ว่าเคยรีวิวตัวนี้ไปทีนึงแล้วตอนได้มาใหม่ๆ แล้วยังไงไม่รู้บทความมันหายไปเฉยๆเลย เลยขอมารีวิวการใช้งานมาเกือบ 1 ปีอีกทีแล้วกัน เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจจะหาเครื่องอ่านหนังสืออยู่

     จากรูปด้านบนมีทั้งเทียบสเกลกับดินสอ กับไอแพด2 และฟังชั่นต่างๆ  แต่ขอเกริ่นก่อนเลยว่า มันคือเครื่องอ่าน e-reader หน้าจอ e-ink โดยใช้ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์เป็นตัวจัดการ จะต่างกับ kindle ซึ่งมีระบบปฏิบัติการข้างในของตัวเอง ผมจะไม่ลงรายละเอียดตัวเครื่องมากนัก แนบลิ้งค์ข้อมูลให้ศึกษาเพิ่มตอนท้ายให้แล้วกัน จะมาพูดในส่วนการใช้งานมาเกือบปีพอ 

     - ระยะเวลาการใช้งาน 
        ปิดทิ้งไว้เป็นเดือนได้เลย  แต่ถ้าไม่ปิดเครื่อง ราวๆสองอาทิตย์ก็แบตหมดแล้ว เพราะมันเป็นแอนดรอยด์ เวลาเราปิดหน้าจอตัวเครื่องก็ยังทำงาน เหมือนกับโทรศัพท์แอนดรอยด์ทั่วไป แต่เจ้า boox i86 plus ก็แก้ทางมาแล้วคือมีฟังชั่นตั้งเวลาปิดเครื่องเองได้ 30 60 นาที แล้วแต่สะดวก ระยะเวลาในการอ่านก็บอกไม่ถูก แต่ยังไงไปเที่ยว ตจว. สักสัปดาห์นึงก็มั่นใจได้ว่าไม่ต้องเอาสายชาร์ทไป 

     - ความทนทาน 
       ก็ในระดับนึง วัสดุดูสมราคาพอสมควร ไม่เหลือนรุ่นเล็ก 6 นิ้ว ที่ดูก๊องแก๊งจัง ด้านหลังเป็นเหมือนเคลือบยางด้านคล้ายๆ kindle paper whiteไม่เคยหล่นไม่เคยกระแทก ตอนซื้อมาเขาจะแถมเคสฝาปิดหน้าเป็นแบบสลีฟโหมดให้ด้วย แต่ไปๆมาๆมันหนักไปหน่อย ก็เหลือแต่เจ้านี่เพียวๆใส่กระเป๋าไปไหนมาไหน 

     - ความจุข้อมูล 
       ในตัวเครื่องให้มา 4 หรือ 8 ไม่แน่ใจเพราะไม่ได้ใช้เลยเนื่องจากมีช่องเสียบ sd card ล่าสุดก็จัด 32กิ๊ก class 10 ไปเรียบร้อย มีอะไรก็ยัดๆใส่ไป ใส่จนไม่รู้จะอ่านอะไรก่อนหลังดี 

     - ทำอะไรได้บ้าง
        รองรับไฟล์หลากหลาย .pdf .mobi .awz ง่ายๆคืออ่านไฟล์ ebook หลักๆได้หมด .doc ก็ได้อยู่ ฟังเพลง mp3 เปิดรูป.jpg แต่ผมไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ในส่วนหลัง

     - ข้อดีจริงๆของมันเสียที 
       ด้วยหน้าจอขนาด 8 นิ้ว มันเลยเกิดมาเพื่อชาว pdf โดยเฉพาะ เพราะไฟล์หนังสือเราส่วนใหญ่จะเกินหน้าจอ 6 นิ้วของ kindle แน่นอน (ผมใช้มาเกือบทุกรุ่นของตระกูล kindle แล้ว) ไม่ใช่ว่าจะละเมิดลิขสิทธิ์อะไรเลย เพียงแต่เราก็รู้กันอยู่ว่า หนังสือ ebook ในไทยต่อให้ซื้อไฟล์จริงเลย บางเล่มก็ยังเป็นแบบ pdf ซื่งไม่จัดตัวอักษรตามขนาดหน้าจอให้ และเอกสารบางอย่างมันก็มาจากช่องทางอื่น อย่างเอกสารงบประกอบการต่างๆ หรือเอกสารการประชุมต่างๆ  
       มีฟังก์ชันขยายหน้ากระดาษให้พอดีขอบ สั่งเลื่อนหน้า หรืออ่านตามฝั่งคอลัมน์ ที่เด็ดคือเมื่อเราซูมขนาดไหนไว้แล้ว พอเลื่อนไปอ่านหน้าถัดไปมันจะคงขนาดนั้นไว้ ไม่ต้องมาขยายกันทุกหน้า 
       มีแสงอ่านตอนกลางคืนได้ หรือในที่แสงน้อย เวลานั่งรถไกลๆ จะเจอจังหวะลอดใต้สะพานหรือช่วงแสงน้อย อ่านได้ยาวๆเพลินๆ แดดแรงก็อ่านได้ แสงน้อยก็ไม่มีปัญหา 
       สั่งซื้อได้จากผู้นำเข้ามาจำหน่ายในไทย และยังซื้อหนังสือไทยลงอ่านได้จากผู้จำหน่ายเลย ไม่ต้องฝากหิ้ว หรือสั่งซื้อจากเมืองนอก (เดี๋ยวตอนท้ายแนบลิ้งค์ผู้จำหน่ายให้นะครับ) 

    - ข้อเสีย
       ไม่รู้จะเรียกว่าข้อเสียหรือเปล่า ถ้าเทียบกับ kindle รุ่นใหม่ๆ เรื่องการยิงแสงหรือความละเอียด pixel อาจจะไม่เนียนกริ๊บเท่า กับยี่ห้ออื่นผมไม่ทราบนะเพราะไม่เคยใช้ ความไวในการเปิดหน้าช้ากว่าหน่อย ถ้าเจอ pdf ที่เป็นรูปหนักๆ อย่างพวกนิตยสาร อาจมีค้างหรือหน่วงจนหงุดหงิดได้ (แต่ใครจะเอาจอ ขาวดำมาอ่านนิตยสารกันล่ะ)  
        และ สำคัญมาก **** รุ่นนี้อย่าหวังจะมาอ่านหนังสือที่ซื้อจากเว็บ meb เพราะถึงจะเป็นแอนดรอยด์ มี playstore แต่แอพที่สามารถลงได้น้อยมากๆ จนแทบไม่เคยลงอะไรเลย จะต่างจาก boox c67 จอ 6 นิ้ว ตัวนั้นซอฟแวร์จะทันสมัยกว่า โหลดแอพ meb ได้


      สรุปสั้นๆอีกทีแบบตรงๆเลย เพราะไม่เคยใช้ยี่ห้ออื่นนอกจาก kindle เจ้า boox i86 ตัวนี้กินขาด kindle อยู่สองเรื่องคือ หน้าจอ 8 นิ้วที่มีแสงในตัว และสามารถอ่านไฟล์ได้หลากหลาย นอกนั้น kindle ยังกินขาดทุกเรื่อง แต่ถึงแม้ kindle จะเจ๋งแค่ไหน (วัดด้วยความชอบส่วนตัว) มันก็ไม่เหมาะกับนักอ่าน ebook ภาษาไทยเท่าไหร่นัก ต้องจนกว่าไทยจะมีหนังสือไทยไฟล์ .mobi หรือ awz เยอะๆแล้วนั่นแหละ ผมคงจะกลับไปใช้ kindle อีกที ตอนนี้ใช้เจ้า boox มาเกือบปี แฮปปี้กับมันมากๆ 


ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม จากที่ผมซื้อมาครับ  https://www.hytexts.com/buy_i86.php
ไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆทั้งสิ้นนะครับ หาข้อมูลเอง ใช้เอง รีวิวเอง 

ใครสงสัยการใช้งานด้านไหนถามมาได้นะครับ จะลงรีวิวเป็น ภาคสองให้