ไปรู้จักหนังสือนี้ด้วยความบังเอิญ ก็เลยลองหามาอ่านดูปรากฏว่า เป็นหนังสือที่ดีมากๆแต่เสียดายว่าถ้าไม่รู้เนื้อหามาก่อน คงยากที่จะหยิบมาอ่านเพราะหน้าปกออกมาแนวนิยาย หรืออะไรฝันๆแนวฮิปเตอร์ๆเป็นแน่แท้
แต่จริงๆแล้วเนื้อหาข้างในดีและหนักพอสมควร ระดับที่ว่าอ่านจบรอบแรกต้องอ่านรอบสองซ้ำอีก และพกติดตัวไว้อ่านเสมอๆ แล้วเนื้อหามันยังไงกันโปรยมาซะขนาดนี้แล้วเรามาว่ากันเลย
ผู้เขียนคือ แอนโทนี เดอ เมลโล เป็นผู้อำนวยการสถาบันที่ให้คำปรึกษานักบวชในประเทศอินเดีย ได้ถ่ายทอดแนวคิดที่ค่อนข้างจริงและตรง จนบางทีก็ตรงๆจนอาจไปสะกิตใจใครๆ หรือผู้ที่นับถือศาสนาใดๆที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือ ดังนั้นการจะอ่านเล่มนี้ ต้องค่อยข้างเป็นกลางเปิดรับฟังดูพอสมควร แล้วคุณจะได้ของดีที่อยู่ในเล่มนี้ไปเป็นแนวทางชีวิต
เนื้อหาข้างใจจะพูดถึงการปล่อยวาง การรับรู้ตัวเอง เพื่อที่จะทำความเข้าใจชีวิตและไม่ยืดติดกับสิ่งๆต่างๆที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ทำให้เราจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้เร็วและง่ายขึ้น โดยเน้นที่การพยายามมองตัวเองในแบบที่เหมือนเราเฝ้ามองคนอื่นอยู่ มองดูและพิจารณาดูเฉยๆ รู้สึกยังไงก็ขอให้รับรู้ว่ารู้สึกอย่างนั้น ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ สุขก็รู้ว่าสุข และยังย้ำเสมอว่าทุกอย่างทุกอารมณ์เป็นสิ่งชั่วคราว
สำหรับชาวพุทธ อ่านย่อหน้าข้างบนแล้วคุ้นๆไหมครับ มันค่อนข้างเป็นธรรมะเลยหล่ะ แต่อย่างที่บอกพออ่านแล้วมันตรงกับสิ่งที่เราศรัทธาเราก็ชอบใจ มันก็ต้องมีบางส่วนที่ไม่ตรงกับศรัทธาของเรา ถ้าคิดว่า โอ๊ยฉันรู้แล้วนี่มันพุทธนี่แล้ววางหนังสือลง มันก็จบแค่นั้น แต่ถ้าอ่านไปจนจบจะรู้เลยว่า
มันเป็นขั้นต้นในการเดินทางไปสู่ธรรมะ ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าสิ่งที่หลุดพ้นนั้นคืออะไร เขาไม่อธิบายและบอกไม่ได้ ทุกคนต้องไปถึงตรงนั้นด้วยตัวเอง แต่เขาจะบอกได้ว่า เราควรมีระบบความคิดยังไง มองตัวเองยังไง และเมื่อเราเข้าใจตัวเองเราก็จะไปถึงจุดที่ปล่อยวางของเราได้ และในหนังสือก็จะบอกเป็นแนวทางคร่าวๆ โดยยกตัวอย่างหรือเหตุการณ์มาใช้ อย่างเช่นว่า "แม้แต่การณ์ทำความดีของเราเอง มันก็คือการทำเพื่อสนองความต้องการของเรา เราไม่ได้ทำดีเพื่อใคร" ฟังดูอาจจะขัดหู แต่ถ้าค่อยๆคิดตามไปจะเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้เร็วขึ้นเลย
และถ้าอ่าน awareness คนไม่รู้จักตัวเอง จนเข้าใจและยังไม่รู้สึกไม่ชัดเจนในคำอธิบายบางอย่าง ว่าพอเรามองตัวเอง เราเห็นอารมณ์ตัวเองแล้วยังไงต่อ มันเข้ามายังไง กระบวนการจัดการของจิตเรามันทำยังไงต่อสิ่งที่เข้ามา แล้วแปลผลออกมายังไง หรืออยากให้ลึกซึ้งกว่านี้ แนะนำให้ต่อด้วยเล่มนี้ครับ
พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย (แนบฉบับpdf ไว้ล่างสุดนะครับ) โดยส่วนตัวผมเล่มนี้ชัดเจนมาก เน้นโครงสร้างของจิตเราจริงๆ ไม่เวิ่นเว้อ ไม่ได้สอนแนว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วอะไรอย่างนั้น แต่ถ้าจะเน้น สมาธิ กรรมฐาน เข้าใจธรรมะ และเข้าใจจิตตัวเอง เล่มนี้สมควรอ่านต่อจากเล่มข้างบน เพราะมันจะมีศัพท์ทางธรรมที่แจกแจงโครงสร้างทางจิต พร้อมทั้งมีภาษาอังกฤษมาอธิบายขยายความหมายคำด้วย (อันนี้จริงๆนะ ตอนอ่านภาษาไทยยังงงๆ แต่พอมีคำอังกฤษมาเสริมนี่อ๋อเลย)
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้นับถือพุทธ หรือนับถือครึ่งๆกลางๆ หรือจะอินดี้ไม่นับถืออะไรแค่อยากจัดการความรู้สึกตัวเองให้ได้ไม่อยากทุกข์ทรมานใจ ขอให้อ่าน awareness ก่อนครับ อารมณ์จะเหมือนคุณอยากขับรถ แล้วให้เพื่อนสอนก็ขึ้นรถแล้วพาขับไป บอกไปตามความเข้าใจของเพื่อน ซึ่งมันเข้าใจง่ายและแค่ใช้ปฏิบัติจริงคือขับรถตามถนนทั่วไป คือเข้าใจง่ายเข้าถึงง่ายและใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันทั่วไป
ซึ่งหลังจากนั้นถ้าคุณเริ่มหลงไหลในเครื่องยนต์ อัตราเร่ง ระบบเกียร์ หรือจะขับดริป แต่งรถจริงจังกันแบบนั้น คุณต้องต่อด้วย พุทธธรรมฉบับขยายครับ เล่มนี้จะพาคุณไปขับรถส่งเต้าหู้แบบ initial D กันเลยฮ่าๆๆ